เมนู

บุคคลผู้ยืนอยู่ที่สุดฝั่งแล้วเหยียดมือชี้ให้ดูมหาสมุทร ฉะนั้น ธรรมที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ย่อมปรากฏชัดแม้แก่พระเถระโดยร้อยนัย พันนัย
แสนนัย.
ถามว่า พระศาสดาทรงนั่งพักกลางวันแล้ว เสด็จไปแสดงธรรมเวลา
ไหน ?
ตอบว่า ธรรมดาว่า เวลาสำหรับแสดงธรรมแก่ชาวเมืองสาวัตถีที่
ประชุมกันแล้วมีอยู่ ก็เสด็จไปเวลานั้น.
ถามว่า ใครเล่าย่อมทราบ ใครเล่าไม่ทราบว่า พระศาสดาเสด็จไป
แสดงธรรม หรือว่า เสด็จมาแสดงธรรม.
ตอบว่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ย่อมทราบ เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยย่อมไม่ทราบ.
ถามว่า เพราะเหตุไร เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยจึงไม่ทราบ.
ตอบว่า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพุทธนิมิต ไม่มีความต่าง
กับสิ่งทั้งหลายมีพระรัศมีเป็นต้น ความจริง ความต่างกันของพระพุทธเจ้าแม้
ทั้งสองพระองค์นั้น ในพระรัศมี หรือพระสุรเสียง หรือพระดำรัสมิได้มี.
ฝ่ายพระสารีบุตรเถระก็นำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว ๆ มา
แสดงแก่ภิกษุ 500 ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของตน บัณฑิตพึงทราบบุรพโยคะ
(การประกอบกรรมในกาลก่อน) ของภิกษุ 500 เหล่านั้น ดังนี้.

บุรพโยคะของภิกษุ 500



ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระทศพล พระนามว่า กัสสป ภิกษุเหล่านั้น
เกิดในกำเนิดค้างคาวลูกหนู ห้อยโหนอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม
2 รูป สาธยายพระอภิธรรมอยู่ ก็ถือเอานิมิตในเสียง แม้ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

ฝ่ายดำ เป็นธรรมฝ่ายขาว ทำกาละแล้วก็เกิดในเทวโลกด้วยเหตุสักว่าถือเอา
นิมิตในเสียงเท่านั้น. พวกเขาอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในกาลนั้น
เขามาเกิดในมนุษยโลก เลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ จึงบวชในสำนักของพระเถระ
พระเถระนำพระธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว ๆ มาแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้น
การสิ้นสุดลงแห่งการแสดงพระอภิธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการ
เรียนปกรณ์ 7 ของภิกษุเหล่านั้นได้มีพร้อม ๆ กัน นั่นแหละ.
ทางแห่งการบอกพระอภิธรรมมีพระสารีบุตรเถระเป็นต้นเหตุ แม้วาระ
ว่าด้วยการนับจำนวนมหาปกรณ์ ก็พระเถระนั่นแหละตั้งไว้. จริงอยู่ พระเถระ
ไม่ลบล้างลำดับธรรม เพื่อถือเอา เพื่อทรงจำ เพื่อเล่าเรียน และเพื่อบอก
ได้ โดยวิธีนี้ เพราะฉะนั้น จึงจัดตั้งไว้ซึ่งวาระว่าด้วยการนับ ก็ครั้นเมื่อความ
เป็นอย่างนั้น พระเถระก็เป็นผู้ทรงพระอภิธรรมก่อนกว่ากระมัง หามิได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละเป็นผู้ทรงพระอภิธรรมก่อนกว่า เพราะว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ มหาโพธิบัลลังก์ ทรงแทงตลอดแล้วซึ่งพระอภิ-
ธรรมนั้น ก็แลครั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ประทับโดยบัลลังก์เดียวตลอด 7 วัน
ทรงเปล่งอุทานว่า
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
ฯ เป ฯ สูโรว โอภาสยมนูตลิกฺขํ.
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อม
ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่
ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของ
พราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมาทราบชัด
ซึ่งธรรมพร้อมทั้งเหตุ.

ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อม
ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่
ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของ
พราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้แล้วซึ่ง
ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อม
ปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่
ในกาลนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมารและ
เสนามารได้เหมือนพระอาทิตย์ยังท้องฟ้าให้
สว่างอยู่ ฉะนั้น.

นี้ชื่อว่า

ปฐมพุทธพจน์

แต่อาจารย์ผู้กล่าวบทแห่งธรรม ย่อมกล่าวว่า
ชื่อว่า ปฐมพุทธพจน์นี้ คือ
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
เมื่อเราแสวงหานายช่าง (คือตัณหา)
ผู้กระทำซึ่งเรือน ยังไม่พบ จึงต้องท่องเที่ยว
ไปสู่สงสารมีชาติมิใช่น้อย เพราะการเกิด
บ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายผู้กระทำซึ่ง
เรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือน
ไม่ได้อีก ซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหัก